
ทริปนี้ เราลงเครื่องที่โอซาก้าจริง แต่ตะลอนทัวร์ไปตามเมืองต่างๆ แห่งละคืน 2 คืน
กระทั่ง 3 คืนสุดท้ายในญี่ปุ่น ถึงกลับมาโอซาก้าอีกครั้ง
อารมณ์แรกที่กลับเข้ามาโอซาก้า…เหมือนบ้านนอกเข้ากรุง
รู้สึกว่าทำไมคนแยะจัง อากาศร้อนจัง (ต้องถอดสเวตเตอร์ออก เหงื่อซึมหลัง) พลุกพล่านจัง
ความรุ้สึกของการไปบ้านนอกมาหลายวัน ทำให้คุ้นกับความที่คนน้อย อากาศเย็นสบาย
พวกเราเอากระเป๋าไปฝากโรงแรม Hotel new Hankyu Osaka อยู่ใกล้สถานีแค่ 5 นาที
แต่สถานีมันใหญ่มาก พวกเราหาทางออกที่เหมาะสมไม่เจอ (ยังสลัดอารมณ์บ้านนอกเข้ากรุงไม่หลุด)
โดยรวมห้องถือว่าโอเค มาตรฐานทั่วไป โลเคชั่นนี่ให้สิบดาวเลย
ทั้งติดสถานีรถไฟ และป้ายรถบัสที่จะขึ้นไปสนามบินก็อยู่ตรงประตูโรงแรมนี่เอง
เราแบ่งบล็อก Osaka เป็น 2 ส่วนคือ ที่เที่ยวที่กินในโอซาก้า (บล็อกนี้) กับ Universal Osaka
(ทำไมต้องแบ่งแบบนี้ก็ไม่รู้ ถามตัวเองก็ไม่ได้รับคำตอบที่มีเหตุผล)
อ่ะ มาเริ่มกันเลย
Osaka Castle
พวกเราเดินกันพักใหญ่กว่าจะถึงประตูทางเข้าปราสาท (เหงื่อซึมหลังอีกรอบ)
มันช่างยิ่งใหญ่เสียจริง แต่ในอดีตกำแพงสูงใหญ่ และคูเมืองอลังการขนาดสระว่ายน้ำ 25 เมตรเหล่านี้
อาจจะไม่มากพอจะปกป้องตัวปราสาทก็ได้นะ ตัวปราสาทตอนนี้อายุ 500 กว่าปี
สร้างในปี 1583 แต่ถูกฟ้าผ่าจนดินปืนในคลังแสงระเบิด ลุกโหมเผาปราสาทหลักวอดวายในปี 1660
(นี่สินะ มนุษย์เราถึงต้องมีสายล่อฟ้า) ก่อนที่จะรวบรวมเงินทองมาบูรณะขึ้นใหม่
ถูกพังลงมาใหม่ ถูกทิ้งร้างไว้ และบูรณะใหม่อีกครั้งจนเป็นอย่างปัจจุบัน
ที่นี่นักท่องเที่ยวแยะเชอ มีการออกร้านขายอาหาร มีแผงให้เช่าชุดซามูไร กิโมโน
บรรยากาศคึกคักดี พวกเราไม่ได้เข้าไปด้านในปราสาท เพราะมองด้านนอกก็ส๊วยสวยและ
รวมกับการไปมาหลายปราสาท ทำให้เกิดอาการเอือมนิดๆ นะ


Sumiyoshi Taisha Shrine (ศาลเจ้าอายุหลายพันปี)
พวกเรานั่งแทรมออกไปชานเมืองนิดๆ คนใช้บริการแทรมกันแยะเต็มคันตลอด ผ่านบ้านเรือนเลาะหลังบ้านคน
ตัวศาลเจ้าเองมีทั้งส่วนที่สร้างขึ้นมาใหม่ ส่วนเก่ามากซึ่งสร้างจากไม้ท่อนมหึมาไม่มีการทาสีใดๆ
เนื่องจากเป็นการสร้างก่อนที่ศิลปะแบบจีนจะแพร่เข้ามาสู่ ญป. ที่ประทับในคือในวัดมีต้นไม้ใหญ่มหาศาลอยู่หลายต้น
บ่งบอกให้รู้ถึงความเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ของที่นี่ได้เป็นอย่างดี เดินไปเดินมาเห็นคนมาถ่ายรูปแต่งงานกันด้วย
เราว่าเหมาะ เพราะเป็นฉากหลังที่เพอร์เฟ็กต์และคนไม่แยะ เกะกะสายตา (ค่าเข้าคนละ 400 เยน)
Shitennoji วัดพุทธแห่งแรกใน ญป.
เราไปตอนวัดปิดพอดี แต่ก็ยังเปิดให้จุดธูปไหว้ได้ ธูปที่นี่ขนาดสั้นกว่าของไทยครึ่งนึง
ส่วนเทียนตรงก้นมีรูไว้สำหรับเสียบลงในเหล็กที่แท่น มันทั้งสะดวกและประหยัดเนื้อเทียนมาก แถมสีชมพูน่ารักเชอ
ฟังตอนพระสวด ก็พบว่าบทสวดต่างกันออกไปจากบ้านเรา
แต่จะอะไรเล่าในเมื่อพระสวดทางภาคเหนือ กลาง อีสาน ยังไม่เหมือนกันเลยนี่เนาะ
Spa World
ค่าบริการคนละ 1,200 เยน ไม่แน่ใจว่าจะมีคนสนใจมาที่นี่กันมากไหม
ในเมื่อมันเป็นโรงอาบน้ำสาธารณะ ไม่ใช่บ่อออนเซ็น
สิ่งที่แตกต่างกันคือ ที่ Spa World เขาใช้น้ำประปา ไม่ใช่น้ำแร่
ดังนั้นเดินเข้าไป กลิ่นคลอรีนงิหึ่งเลย T^T
แต่เราสองคนชอบวัฒนธรรมการแช่น้ำแบบญี่ปุ่น และเริ่มชินชากับการแก้ผ้าอาบรวม
เลยตั้งเป้าว่าจะมาอาบน้ำกันที่นี่แหละ มีกลิ่นคลอรีนนิดหน่อยก็เบลอๆ ไป
เอาประสบการณ์หนุกๆ ดีกว่า สังเกตแล้วพบว่านักท่องเที่ยวกับคนโลคัลมีปนๆ กันนะ
พอจ่ายตังเสร็จ เขาจะให้ Tag คล้องข้อมือ (หายปรับ 5,000 เยน!)
จากนั้นเอาเฉพาะรองเท้าไปใส่ในล็อกเกอร์รองเท้าชั้นเดียวกับทางเข้า
แล้วค่อยขึ้นลิฟต์ไปชั้นใครชั้นมัน (ตอนเราไปผู้หญิงได้อาบชั้น 6 Asia Zone)
ซึ่งชั้น 6 ก็จะมีล็อกเกอร์ให้ เราแค่เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาเปลี่ยน เอาของทุกอย่างเก็บใสล็อกเกอร์ให้หมด
จากนั้นเดินเข้าไปแล้วลงแช่ในบ่อได้เลย เรียบง่ายเช่นนี้แล
โซนผู้ชายและผู้หญิงจะอยู่คนละชั้นและสลับสับเปลี่ยนชั้นกันทุกเดือน
เนื่องจากแต่ละชั้น ก็มีธีมของบ่ออาบน้ำที่แตกต่างกันออกไป
Asia Zone ชั้น 6 เค้าทำบ่อแบบตุรกีบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง บาหลีบ้าง เล็กใหญ่แตกต่างกันไป
อุณหภูมิอยู่ที่ 39 ถึง 44 ซึ่งมีป้ายบอกอยู่ข้างบ่อนั่นเอง
อย่างไรเสียก็เอาเท้าจุ่มทดสอบอุณหภูมิดูก่อน ถ้าไม่อยากกลายเป็นชาบู
สิ่งหนึ่งที่เรายังไม่คุ้นเคย คือภาพหญิงสาวนั่งกินอะไรกันไป คุยมุ้งมิ้งกันไป…ในสภาพเปลือย
เพราะตรงกลางของบ่อทั้งหลายเป็นร้านอาหารไง (ดีนะพนักงานเสิร์ฟยังใส่เสื้อผ้า)
แช่ๆ อยู่แล้วเกิดหิว ก็ไปสั่งขนมของเล่น เครื่องดื่มมาทานกันได้
คือไม่คุ้นตาอะ และคงอีกนานกว่าจะคุ้นอ่ะ … นี่ไม่ใช่ nude beach นะ!!!
เราก็เดินวน แช่บ่อละ 5-10 นาทีสลับไปเรื่อยๆ บางบ่อก็ใหญ่มากแช่รวมกันหลายคน
บางบ่อก็เล็กพอจะแช่แค่ สองสามคน บางอันเหมือนแช่น้ำในป่าคองก้า
เพราะเขามีต้นไม้ปลอมมาห้อมล้อมไว้ครึ้มเชอ
ส่วนตอนแช่บ่อตุรกี (คิดเองนะ) ว่าสมัยก่อนโรงอาบน้ำคงให้อารมณ์แบบนี้
คือใหญ่ แต่มิดชิด โอ่โถง ด้านนึงมีหัวสิงโตพ่นน้ำ อีกด้านเป็นกระเบื้องลายสด
ตรงกลางบ่อมีรูปปั้นตั้งตระหง่าน อะไรแบบนี้
สิริรวมแล้วเราแช่ได้ไม่นานหรอก แช่ไม่ทน แต่สนุกดี ทุกคนเปลี่ยนบ่อกันเป็นเรื่องสนุก
บ่อผู้ชายวันนี้เป็นบ่อโซนยุโรป ก็มีความหวือหวาอลังการงานสร้างกันไป มีโอกาสคงได้มาแช่บ่อโซนยุโรปบ้าง
ปล.รูปไม่มีเลย ทำไมก็ไม่รู้



ร้านโดรุมะ (ร้านลุงหนวด เพราะมีรูปลุงหนวดยืนกอดอกอยู่หน้าร้าน
เมืองไทยมีมาเปิดแล้วนะ อยู่ซอยเดียวกับรพ.สัตว์ทองหล่อ แต่..เคยไป เจอแมงสาปตัวบึ้มไต่ผนังอยู่ T^T)
เป็นร้านของทอดประเภท คุชิคัตสุ (คุชิยากิ) ที่มีออริจิอยู่โอซาก้า หากินที่อื่นยาก
มีสาขาแยะเลย กินร้านไหนก็น่าจะเหมือนกันหมด เรากินใกลๆ้ spa world (ซึ่งมี 2 สาขาเข้าไปละ)
อร่อย! แนะนำ! เห็นคิวยาวนะ แต่รอแค่ 5 นาทีก็ได้นั่งเคาน์เตอร์ สั่งเซ็ตใหญ่มา 1 ก่อน
จากนั้นชอบอะไรค่อยสั่งเพิ่ม วัตถุดิบอาจจะไม่ดีอะไรมาก
แต่พอทอดเสร็จแล้วมาจุ่มน้ำซอสรสเปรี้ยวนิดหวานหน่อยแล้วอร่อยเหาะ (เหมือนซอสคัตสึด้งแต่เหลวกว่า)
กฎเค้าคือ 1 ไม้ จุ่มซอสได้ 1 ครั้ง … “ห้ามจุ่มซ้ำเด็ดขาด!” เพราะเค้าใช้ซอสชามเดียวตั้งแต่ร้านเปิดยันปิด
(คิดดูแล้วกัน ถ้าเรากัดแล้วเอาลงไปจุ่มอีก คนอื่นก็คงได้กินน้ำลายเรา เขาคงกลายเป็นกระสือไม่รู้ตัว สงสารเขานะ)
ทานแกล้มกับกะหล่ำปลีแล้วมันใช่! คือกินเพลินไป 24 ไม้โดยไม่รู้ตัว
และพอจะสั่งเพิ่ม บูบอกว่า “เก็บท้องไว้อย่างอื่นบ้างค่าาาแม่คุลล” อ้าวเหรอ ก็ได้
สิ่งที่กินคือ ชีส 3 อย่าง ไก่ มะเขือเทศ แอสพาร่า โมจิ(กรอบนอกนุ่มใน) กุ้ง หนวดปลาหมึก แต่ที่ไม่อร่อยคือเนื้อวัวนะ

ร้านโอโคโนมิยากิ Chibo
เป็นร้านที่เพื่อนบูแนะนำมา ตอนหลังถึงรู้ว่าเป็นร้านที่ป๊อบปะล้ำปะเหลือ
เนื่องจากเรายังอิ่มจากร้านของทอดลุงหนวด เลยสั่งมาแชร์แค่ 1 แผ่น ชื่อเมนู ultimate salt
ทีเด็ดคือเขาไม่ใส่แป้งเลยแต่ใส่มันสำปะหลังหนืดๆ เพื่อให้ผักทั้งหลายเกาะตัวเป็นแผ่น
ทอดเสร็จนะ มันหอมฉุยมาก ด้านบนโรยด้วยกุ้งแห้งรสเค็มปะแล่ม เนื้อกรอบนอกนุ่มใน
เสิร์ฟพร้อมกาน้ำซุปที่เอามาตั้งบนกะทะบนโต๊ะ
ร้อนเมื่อไหร่เราเทใส่ชามซุปที่ในนั้นมีกุ้งแห้ง ต้นหอมซอยได้เลย
ความพิเศษของเมนูนี้คือจะไม่ราดหน้าด้วยซอสและเมโย ใส่แค่ปลาโอที่มีในกระปุกให้ทุกโต๊ะแล้วเท่านั้น
อร่อยแบบแอบสุขภาพดี และไม่ค่อยเห็นที่ไหนทำ ส่วนตัวแล้วชอบโอโคโนฯ ที่นี่มากกว่าของฮิโรชิม่านะ
คืออันนั้นมันแยะไปอ่ะ มีอะไรก็โปะๆๆ ลงไป เน้นปริมาณมาก
อันนี้แผ่่นบางๆ แต่กรอบนอกนุ่มใน รสกำลังดี



Osaka Aquarium
โดยไม่รู้ตัวนะ แต่ไม่ว่าจะไปเที่ยวเมืองไหน ประเทศอะไร การไปอะแควเรียมจะอยู่ในแผนเที่ยวเราเสมอ
เลยเพิ่งรู้ตัวว่า … พวกเราชอบดูปลา ดูสัตว์น้ำ ดูได้นานหลายๆ ชม.เลย สงสัยชาติก่อนเป็นแอเรียล
(นางเงือกใน under the sea ไง…แม้หน้าจะไม่ให้ แต่ใจรัก อุอุ)
และอะแควเรียมที่โอซาก้าก็มีคาแรคเตอร์ส่วนตัวมาก
เพราะในตึกเขาจะมีแทงก์ใหญ่อยู่ตรงกลาง ใหญ่มากกกกกกกกกกก สุงเท่าตึกอะแควเรียมเลย
ทางเข้าอยู่ชั้นบนสุด แล้วเราก็ค่อยๆ เดินวนรอบๆ แทงก์กลาง ทัศนาหมู่ปลาน้อยใหญ่ลงไปด้านล่างเรื่อยๆ
ที่นี่เราได้เห็น arctic sea otter ครั้งแรก คือ otter หนุ่มสาวที่เกี่ยวมือกันนอนอ่าาาาา น่ารักน้อ
ตอนมันนอนหงายกินอาหารก็น่ารักที่สุด (ถ่ายรูปไม่ทันเลย เร็วกันมากนะ!)
รวมถึงฉลามวาฬตัวบึ้ม พระเอก(หรือนางเอก?) ของที่นี่ในตอนนี้
คุณบูชอบปลา sun fish ซึ่งเป็นปลาน้ำลึกที่หน้าตาแปลก เหมือนไม่มีบาลานซ์แต่ทรงตัวอยู่ในนัำได้
เธอบอกว่า “เคยได้ยินแต่ชื่อ เพิ่งมาเห็นของจริง”
ที่นี่เปิดถึง 2 ทุ่มแน่ะ เปิดดึกมากจนไม่น่าเชื่อ (ค่าเข้าคนละ 2300 เยน)





Kamigata Ukiyoe Museum
เป็นมิวเซียมภาพพิมพ์ จัดแสดงภาพพิมพ์ที่ใช้เทคนิคแบบโบราณ
รวมถึงอธิบายกระบวนการการทำแบบดั้งเดิม ซึ่ง…พอรู้แล้วก็อึ้งไป
งานแฮนด์เมดนี่มันยากยิ่งจริงๆ เนาะ โดยเฉพาะสมัยก่อนที่เครื่องมือและอุปกรณ์ยังไม่แอดวานซ์
(ค่าเข้าคนละ 1,000 เยน)
ด้านล่างขายผลิตภัณฑ์ผ้าจากสตู sou sou ด้วย (ได้มาสิ ผืนนึง น่ารักออกจะตายไป)



มาถึงคราวของกินกันบ้าง…







Takoume (ร้านโอเด้งที่นัมบะ)
เราเดินล่องไปตามถนนขาปูขยับได้ เกี๊ยวซ่ายักษ์ กูลิโกะ ฯลฯ เพื่อหาอาหารเย็นกิน
คนแยะ ล้นหลาม ทะลักทลาย…จนอยากจะกรี๊ดแล้ววิ่งหนีไปโอคายาม่าอีกรอบ
จะกินร้านไหนคนก็ต่อคิวยาวออกมาเป็นงูเลย ขี้เกียจรออ่า (ชีวิตในฮก.ดิ้นรนมากพอแล้ว)
สุดท้ายตัดสินใจกินโอเด้งบนปลายถนนที่ไม่ค่อยมีคนเดินถึง ดูจากด้านหน้าแล้วหงอยมากอ่ะบอกเลย
แต่ที่พยายามฉุดกระชาก ขืนใจบูเข้าไปกินเพราะ
1.เราไม่เคยกินโอเด้งในร้านเป็นกิจจะลักษณะแบบนี้มาก่อน เทรดิชันนัลมาก
2.บูชอบกินโอเด้งมาก (แต่นางกลัวเราไม่อยากกินเลยยังหงึกหงัก)
เป็นโอเด้งที่อร่อยละมุนละไม ผิดกับโอเด้งตามเซเว่นที่น้ำซุปขอไปทีมากกกก!
อันนี้เค้าจะเติมน้ำใหม่และชิมซุปบ่อยๆ เราสั่งเต้าหู้ ไชเท้า ฟักทอง ปลาหมึก คือทุกสิ่งทุกอย่างอร่อยหมด
กินกับมัสตาร์ดญป. แล้วสุดยอดจ้อดมาก บรรยากาศร้านก็ย้อนยุคขลังสุดๆ
เป็นเคาน์เตอร์ไม้นั่งได้ราว 16 คน และเกือบทั้งหมดเป็นคนญี่ปุ่นมากินหลังเลิกงาน ไม่ใช่ นทท.
จนน่าแปลกใจว่านี่มันนัมบะจริงเหรอ
วิธีคิดสตางค์ก็คือเอาป้ายของที่เรากินใส่รวมๆ กันไว้ในจานด้านหน้า
พอสั่งคิดสตางค์เขาก็เอาป้ายมานับ เราได้กินสไปร์ทวินเทจด้วยที่รสไม่ซ่ามากเท่าของปัจจุบัน เลยจัดไป 2 ขวด
แนะนำมากๆ นะร้านนี้ อร่อยยยยย อยากกินอีกกกกกกกก





Fuku Sushi (ข้าวปั้นแบบโอซาก้า)
ข้าวปั้นโอซาก้า เป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากเชียว เพราะมันต่างจากข้าวปั้นที่เราเคยกินมาโดยสิ้นเชิง
ตรง “แน่น หนึบ” ขนาดกินเสร็จแล้วจุกเบาๆ ไส้เขาจะเน้นของหมักดองที่เก็บได้นาน เช่นซาบะดอง ผักดอง
หรือไม่ก็เนื้อปลาหรือไข่ที่ค่อนข้างแห้ง ร้านแบบนี้จะมีชุกชุมแถว Shinsaibashi เลือกร้านดูเอาได้ตามอำเภอใจ


ร้าน Takama (โซบะ)
สถานี Tenjinbashi exit 6 หรือคลิกดูแผนที่และรายละเอียดได้ ที่นี่
ร้านตั้งอยู่บนถนนเส้นเล็ก คู่ขนานกับเส้นหลัก บูอ่านเจอจากไกด์ไหนสักแห่ง
ว่ามันคือร้านโซบะได้รับดาวมิชิลสตาร์ 1 ดวงด้วยอะ (ในโอซาก้ามี 2-3 ร้านที่ได้รับการแนะนำ)
แวบแรกที่เดินถึงหน้าร้าน…คือไม่รู้ว่าเป็นร้าน เพราะปิดทึบมากค่ะ!
โชคดีคุณบูจำหน้าร้านได้ เลยส่องๆ เข้าไป และพอมีคนมาเปิดประตู
อิฉันนึกว่าเป็นออฟฟิศที่กำลังประชุมกันอยู่จ้าาาาาาาา….เพราะตรงกลางห้องเล็กๆ
คือโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ คนนั่งล้อมวงกันเต็มคล้ายกับกำลังคุยงานเครียดอยู่ (จริงๆ คือรอโซบะ)
วินาทีนั้นเกือบเดินออกมาแล้ว แต่พนักงานบอกให้เข้าไปนั่งได้ มีที่เหลือ 2 ที่พอดี โชคดีอะไรแบบนี้!
(พอกินออกมา พบว่าคนยืนออ รอกินต่ออยู่ด้านนอกจำนวนมาก…อึ้งไป)
เราได้นั่งร่วมโต๊ะกับคุณลุงและป้าญี่ปุ่นคู่นึง ซึ่งลักษณะนี้ผิดวิสัยร้านอาหารในญป.มาก
เพราะปกติเขาไม่ค่อยให้นั่งแชร์โต๊ะกันหรอก การที่ร้านนี้ทำได้แสดงว่าเริดจริงไรจริง
นับๆ ดูแล้ว รอบนึงรับคนได้ราว 16 คน เอง
พวกเราพยายามสื่อสารกับลุงป้า (ที่ลักษณะเหมือนผจก.ออฟฟิศเก่าที่เกษียณแล้ว กะภริยาแต่งกายงดงาม)
ทั้งคู่ก็บอกว่า โซบะร้านนี้เจ๋งจริงไรจริงนะหลาน (ถอดความโดยเอ๋น้อย) ไม่ผิดหวังแน่ๆ
ด้วยความที่ลุงมาก่อนพักนึง อาหารจึงมาถึงก่อน พวกเราเลยนั่งมองลุงป้ากินด้วยสายตาน่าเวทนา
และมีน้ำลายก่อตัวมุมปากนิดๆ (สังเวชตัวเองมาก ก็มันหิวอ่ะ)
สรุปว่า…โซบะอร่อยนะ รู้เลยอ่ะว่าทำสด เทมปุระก็มากำลังดี แต่ที่เด็ดสุด…คือน้ำโซบะ (จิง!)
กินที่ไหนไม่เคยซดหมดหรอก มาร้านนี้ฉันซดน้ำโซบะหมดค่ะ เพราะมันหอม ละมุนอ่ะ พูดไม่ถูก
(โซบะมีหลายราคา ที่เรากินเซตละ 2400 เยน)
ปล.คุณป้าเจ้าของร้านท่าทางเธอไฮโซมาก (ดูจากการแต่งกาย ว่าแต่…จะบอกทำไม?)




ตลาด Kuromon
ไม่ไกลจากร้านโซบะ Takama เราเดินมาถึงตลาดนี้ มีขายทั้งของสดของแห้ง
เห็นสด เห็ดเผาะ (ไม่มี๊!) และขาดไม่ได้คือพวกซีฟู้ดสดๆ เป็นๆ
มีหลายร้านที่บริการเฉาะหอยเม่นให้กินกันตรงนั้นเลย และ…คุณบูก็ปรี่ไปที่กะบะหอยเม่นอย่างไม่ต้องไถ่ถาม
แม้เนื้อจะไม่หวานเท่าตลาดที่เคยกินที่อื่น แต่ก็ถือว่าใช้ได้
นักท่องเที่ยวแวะนั่งกินข้าวปั้น ซูชิ กันตรงนี้เพียบ ก่อนถึงตลาดมีทางเดินที่ร้านรวงน่าสนใจหลายร้านเหมือนกัน





Ice Dog ร้าน Ganso ย่าน อาเมะมุระ Ame-mura
คือเดินผ่านแล้วเราคิดว่าไม่น่าสนใจเอาซะเลย แต่บูวนๆ ดมๆ แล้วบอกว่าน่าจะอร่อย
และสัญชาตญานหมีทรัฟเฟิลของบูใช้งานได้เสมอ! เพราะมันอร่อยสุดจ้อด
คุณป้าเอา bun ซึ่งเป็นแป้งเหมือนโดนัท ทอดในน้ำมันร้อนจี๋ แล้วเอาขึ้นมาบีบ Hokkaido Soft Serve ใส่
จับเข้าเข้าแล้วมันอร่อยลื๊มมมม! เดินผ่านอย่าพลาดเป็นอันขาด อันนี้ไม่เคยเห็น ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนจริงๆ


ร้านอื่นๆ

