สรุปทริปคันไซ
Day 1: Kobe ตอน 1 และ ตอน 2 (Herb Garden/ Ijinkan Kitano / อันปังแมนมิวเซียม /Tetsujin)
Day 2: Himeiji Castle / ปราสาทฮิเมะจิ
Day 3: Arima Onsen / แช่ออนเซ็นที่อาริมะ
Day 4: Hiroshima / เมืองฮิโรชิม่า
Day 5: เกาะ Miyajima / เกาะมิยาจิม่า
Day 6: Hiroshima -> Matsuyama / จากฮิโรชิม่า ไป มัตสึยาม่า
และแล้วก็มาถึงการเดินทางวันที่ 6 ในทริปคันไซ
ทำไมถึงมา Matsuyama?
วันนึงเราอ่านบล็อกของคุณ Priscilla Ang
ซึ่งร้องเพลงประกอบให้หนังสตูฯ Ghibli เรื่อง When Marnie was there
(เพลง Fine on the outside http://www.youtube.com/watch?v=Yb2arWjBhp0 )
นั่นละ…เธอเขียนถึง Dogo Onsen ไว้ในบันทึการเดินทางโปรโมทหนังและเพลงในญี่ปุ่น
บอกว่า “นี่แหละ ต้นแบบของโรงอาบน้ำในเรื่อง Spirited Away”
เท่านั้นล่ะค่าพี่น้อง สองสามีหนุ่มและพันยาสาวหูตั้ง หยิบเอามิยาจิม่าเป็นหนึ่งในจุดหมายหลักทันที
ดูจะเป็นการตัดสินใจปุบปับ แต่การเที่ยวบางทีมันก็ไม่ต้องมีเหตุผลรองรับไม่ใช่เหรอ
การเดินทางไป Matsuyama
ต้องนั่งเรือลงใต้ไปนิด เพราะมัตสึยาม่าอยู่บนเกาะ Shikoku ในเขตจังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime)
จากเมืองฮิโรชิม่า จะนั่งบัสสาย 536 หรือนั่งแทรมไปท่าเรือก็ได้ แต่บัสจะเร็วกว่า(มาก)
และเนื่องจากเช้านี้พวกเราได้กาแฟไม่เต็มโดส ประกอบกับเทพเจ้าโชคลาภไปเวเคชั่น
เลยเดินลอยไปต่อแถวรอแทรมที่นานพอจะทำให้(สติ)เดือด
ระหว่างนั้นก็มองบัสสาย 536 สะบัดตูดออกจากท่ารถไปตาละห้อย…
และด้วยเหตุนั้นเอง ทำให้เราพลาดเรือเร็วไปหนึ่งลำ (เรือเร็วใช้เวลา 1 ชม. 20 นาที)
ขณะที่เรือตุ๊บป่อง ใช้เวลา 2 ชม. 45 นาที
ใจอยากจะรอเรือเร็วรอบถัดไป แต่พอเช็คเวลาดูแล้ว
ไม่ว่าจะนั่งแบบไหนก็จะถึงมัตสึยาม่าในเวลาพอกัน
แถมราคาเรือเร็วแพงกว่าเรือตุ๊บป่องเท่าตัว (จาก 3000 กว่าเยน กระโดดไปเป็น 7000 กว่า)
ดังนั้นถ้าใครไม่มีอาการเมาเรืออย่างหนัก ก็คงจะเลือกเรือตุ๊บป่องแบบเรานี่แหละ
และสถานะตอนนั้นคืออีก 3 นาทีเรือจะออก แถมท่าเรือก็ไปสุดปลายฟ้าโน่น
เลยพากันลากกระเป๋าวิ่งหน้าตั้ง โกยแบบว่าถ้าใครช้าขึ้นเรือไม่ทันก็บ๊ายบายเลยนะ
กว่าจะถึงท่าก็หอบแฮ่กๆๆ หายใจหายคอแทบไม่ทัน เพื่อที่จะพบว่า…..เรือมาช้ากว่ากำหนด
……แง่งงงงง!…….
เรือไป Matsuyama
เรือลำใหญ่กว่าที่คิดแยะมาก ขณะที่ผู้โดยสารน้อยจนกลัวเค้าขาดทุน
บรรยากาศการตกแต่งหลุดมาจากอีกยุคอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเบาะนั่ง ผังโซฟา
ด้วยความที่เรือว่าง คนเลยนั่งจับกลุ่มกันกระจายรอบลำ บางคนก็ยึดโซฟายาวตั้งหน้าตั้งตาหลับ
มุมตู้ปาจิงโกะที่ถูกล่ามด้วยเชือกป้องกันการไหล ส่งเสียงต๊องแต๊งตลอดการเดินทาง
มุมขนมเครื่องดื่มมีกล่องไม้ใส่กระดาษสำหรับเขียนกลอนไฮกุ (กลอนไฮกุ!!) และตราปั๊มให้ใช้ฟรี
ราคาขนม เครื่องดื่มแพงกว่าปกติเล็กน้อย น้ำพีชกระป๋องบนเรืออร่อยชื่นใจ
เรานั่งเขียนโปสการ์ด ไดอารี่ ขณะที่คุณบูจิบเบียร์อ่านหนังสือไป
เป็นการเดินทางที่ชิลล์และสบายมาก เวลา 2 ชม 15 นาทีที่ตอนแรกคิดว่าจะยาวนาน
กลับกลายเป็นเวลาอันแสนสุขที่ได้ทำอะไรจุ๊กจิ๊กไปตลอดทาง
เรือเก่าแต่ไม่อับ วิ่งฉิวนิ่ง ไร้คลื่นแรง
วิ่งไปสักพักก็แล่นเข้าจอดท่าระหวา่งทางเพื่อรับผู้โดยสารเพิ่ม แต่ก็ยังไม่แยะอยู่ดี (กลัวเขาขาดทุนมาก)




จากท่าเรือเข้าเมือง
จากเรือมีทางเดิมเชื่อมไปป้ายรถเมล์ เราแค่ไหลตามกระแสคนไปเรื่อยๆ
มี Loop Bus ไปยังสถานีรถไฟทุกๆ 5 นาที ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงจุดหมาย (ดังนั้นอย่าหลับตาเชียล่ะ)
อยากบอกว่า…สถานีรถไฟวินเทจม๊ากกก!
มันได้ใจอ่ะ ทั้งป้ายไม้ ชานชาลา ความเก่าแก่และโบราณสถานเต็มพิกัด
พอมีขบวนรถไฟวิ่งเข้าชานชาลา อุต้ะ! วินเทจไม่แพ้กันเลยอ่ะ! นี่เราจะได้นั่งมันจริงๆ ใช่ไหม
มันจะไม่ตายกลางทางนะ … แต่พอนึกถึงขบวนรถไฟไทยแล้ว
ก็จะทำให้รู้สึกว่า รถไฟของมัตสึยาม่าใหม่ขึ้นทันตาเลย (แอบน่ารักกว่านิดๆ ด้วยสีพาสเทลด้วย)

สวัสดีจ้ะ …. มัตสึยาม่า
พอก้าวเท้าออกจากสถานีรถไฟ เจอกับสองสิ่ง
หนึ่ง…ลมแรงระดับเกล หัวกระเจิงฟู่ฟ่า
กับสอง…แก๊งค์เด็กน้อยที่เริ่มเข้าขบวนเตรียมแห่ในเทศกาลมัตสุริ
เป็นภาพที่น่ารักมากกกก รีบยกกล้องมาถ่ายรูปจากระยะไกลปานกลาง
แล้วเดินหาโรงแรม ระหว่างทางสำรวจเมืองเล็กๆ เงียบๆ เย็นเฉียบแห่งนี้ไปด้วย
พบว่ามัตสึยาม่าเป็นเมืองแบนและกว้าง เล็กและไม่ค่อยมีตึกสูง
คนใช้จักรยานเยอะมาก และขี่กันเร็วจี๋ ต้องดูให้ดี ไม่งั้นโดนชน!
ร้านปิดเร็วมาก ราว 1-2 ทุ่ม
เป็นถิ่นผลิตส้มมิกันใหญ่ของญี่ปุ่น
รถน้อย อากาศดี บนถนนมีเครื่องช่วยเอื้อต่อคนพิการทางสายตา
มีร้าน Labo ซึ่งเป็นร้านของแต่งบ้านสัญชาติญี่ปุ่นด้วย! ผ่านมาหลายเมืองไม่เจอ มาเจอที่นี่
ก็เลยต้องแวะช็อปซะตามระเบียบ นักช็อปผู้ยิ่งใหญ่ที่ดี..
ปล.ฝาท่อเมืองนี้สีสันน่ารัก
APA Matsuyama
เป็น APA แห่งที่ 3 ในทริปคันไซของเราแล้ว ที่ผ่านมาถือว่าโอนะ
(ยกเว้นที่นึงที่มีแมงสาปตัวดำเมี่ยมมาทักทายยามเช้า)
แต่ APA มัตสึยาม่า…โทรมมาก นี่ไม่ได้ดราม่าหรือใส่ไข่กลั่นแกล้งนะ
ตั้งแต่พรมหน้าห้องที่ถลกพองเยิน สกปรก เปิดห้องเข้าไปก็เจอกลิ่นอับ
พวกเราเลยแก้ปัญหาด้วยการเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ซะกว้าง
และถือโอกาสเอากุงเกงในออกมาซักตากลมหนาวซะเลย
เหอะ…อย่างน้อยเขาก็มีข้อดีที่ห้องกว้างขวาง ห้องน้ำกว้างกว่าที่อื่นๆ ทั้งหมด
มีอุปกรณ์ให้พร้อมสรรพ มีหวีพลาสติกให้ 2 อัน แต่ดันไม่มีหมวกอาบน้ำ..มันคืออัลไล!!?
เอาเถอะ อย่างน้อยลายกระเบื้องรูปดอกไม้นั่นก็ได้ใจไปเต็มๆ แถมราคาที่ไม่เกิน 2000 บาท …
ก็พอช่วยยกระดับความพึงพอใจขึ้นได้มากเอาการอยู่

Matsuyama Castle
เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของเมืองเขาเลย และคุณบูก็เพิ่มอรรถรสในการเข้าชม
ด้วยการชวนเราเดินขึ้นเขาไปตาม “เส้นทางนินจาอิกะ” (อุปโลกน์ตั้งเอง)
เพราะระหว่างเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จะได้ยินเสียงนินจาแว่วเข้าหูเป็นระยะๆ
(หรือมันกำลังบินวนหาซากอาหาร?) ป่าที่นี่ทั้งทึบและชื้น อากาศเย็นจัด
โชคดีเราใส่ heattech ไว้ด้านในเพราะกลัวอากาศจะหนาวไง ปรากฏขึ้นเขาไปสักพักอยากจะถอดทิ้ง
เพราะเหนื่อยและร้อนมากจากการใช้พลังยกร่างเดินขึ้นเขา …
สรุปว่านี่เป็นทริปเที่ยวญี่ปุ่นหรือทริปปีนเขา บางทีก็ยังแอบงงอยู่
ปราสาทมัตสึยาม่าเล็กและฮัมเบิลจนเราแปลกใจ ขนาดเข้าตัวปราสาทไปแล้วยังคิดว่าไม่ใช่
ตัวปราสาททำด้วยไม้เข้าสลัก มีประตูกันข้าศึก 3 ชั้น ซึ่งสร้างไล่ระดับความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ
น่าเสียดายที่ปราสาทจริงถูกฟ้าผ่าจนไฟไหม้ในศตวรรษที่ 17
ก่อนที่จะถูกบูรณะสร้างใหม่ในศตวรรษที่ 18
บันไดไม้ในปราสาทชันสุดๆ อ่ะ สาวแส้อย่างเรายังกลัวพลัดตก
แต่คุณลุงคุณป้าขึ้นกันแบบชิลๆ ค่าาาา ไม่มีใครบ่นโอดครวญว่าเข่าข้าไม่ไหวแล้วเลยสักคน
บนยอดปราสาทสามารถเห็นวิวได้ทั้งเมือง และลมก็แรงจนกลัวมันจะหอบเราร่วงไปทางหน้าต่างได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สุดยอดไฮไลต์สำหรับเราสองคนของการมาปราสาทมัตสึยาม่า
ก็คือการออกจากปราสาทไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นกดน้ำแซบๆ จากตู้ มานั่งใต้ต้นไม้
มองดูตัวปราสาทตัดกับฟ้าใสๆ แดดจัดจ้า แล้วก็คุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้พักใหญ่…ก่อนเดินกลับลงมา : )
ปล.ใครไม่อยากเดินเส้นทาง “นินจาอิกะ”
สามารถขึ้นปราสาทมัตสึยาม่าด้วย Ropeway ในราคา 270 เยน/เที่ยว
โปรดพิจารณาเลือกเส้นทางนี้ หากไม่อยากกำจัดเสื้อผ้าออกจากร่าง

ร้านของฝาก Ehime
ร้านนี้อยู่ใกล้ๆ ทางลง Ropeway (ลงแล้วเดินซ้ายมาเรื่อยๆ รับรองไม่พลาด)
เป็นร้านใหญ่มาก ขายผลิตภัณฑ์สุดคูลของจังหวัดนี้ จำพวกงานฝีมือ ส้มแปรรูปแบบเดิ้น ซอสพรีเมี่ยม
ผ้าเช็ดตัวคาวาอี้มาก จากโรงงานที่ใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งตั้งในเอะฮิเมะ
และอื่นๆ อีกมากมาย เดินสนุกมากร้านนี้ แนะนำที่สุด…สำหรับคนหาของฝาก และแรงบันดาลใจ
101 Factory
เป็นร้านส้มสารพัดชนิด เจอแล้วเข้าไปนะ มันเยี่ยมมาก
ร้านนี้เขาขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับส้มแยะมาก นอกจากไอติมส้มเป็น 10 สายพันธุ์
ยังมีแยมส้มสารพัดชนิด ส้มแห้ง ส้มเชื่อม กระทั่งกาแฟผสมส้ม!
ที่ชอบสุดคือมีเหมือน Orange Juice Tasting คือให้เลือกชิมส้มได้ 3 แบบ
ดูว่าเราชอบอันไหนที่สุดแล้วค่อยเลือกซื้อ(หรือไม่ซื้อก็แล้วแต่เอ็ง)
พบว่าเราชอบส้มพันธุ์ Hanuka ที่สุดล่ะ ส่วน Unshu รสเหมือนทิปโก้กล่อง
ef
ชื่อร้านเราจำได้แค่ตัวหน้า (ตลอด!) แต่ภาพเมนูด้านหน้าถูกใช้โฆษณาขายซอสพรีเมี่ยมในร้านของฝาก
เราเลยผลุนผลันผลักประตูเข้าไปโดยเต็มใจ
สั่งหมูชาชูไข่ดาวโปะข้าว ไก่ทอด … ส่วนคุณบูสั่งอุด้งซุปส้ม
และเมนูที่อร่อยสุดก็คือ “ไก่ทอด” ค้าบบบ
มิน่าล่ะ แม่บ้านญป. 3 คนโต๊ะข้างๆ สั่งไก่ทอดกันคนละเซ็ตเลยอ่ะ
ขณะที่อุด้งจะบีบส้มใส่ลงไปในน้ำซุป ทำให้ได้กลิ่นอ่อนๆ ละมุนๆ ซดแผลบๆ หมดชาม
แนะนำค่ะ! สำหรับมื้อกลางวันนะ










โซเม็นหลากสีที่ร้าน Koshiki
เมนูนี้เป็นของขึ้นชื่อประจำถิ่นเลยนะ เจ้าเส้นโซเม็นหลายสีเนี่ย
เราเลือกกินกะปลา Sea Bream นึ่ง ส่วนคุณบูเธอสั่งเซ็ตอาหารเย็นอันใหญ่สุด (อยากลองแยะๆ)
ความแปลกที่ไม่เคยเจอในมื้อนี้ ก็คือการเสิร์ฟ “ปลาเย็น” มาในชามเดียวกับเส้นโซเม็นและผัก
อร่อยไหม?…อร่อยมากถ้าคนชอบอะไรแบบนี้
ปลาไม่คาว เนื้อไม่เละ ให้อารมณ์สุขภาพ จะหวังอะไรมากกว่านี้อีกเล่า
เต้าหู้ยัดไส้ข้าว เขาผสมเปลือกส้มลงไป (ในฐานะที่เป็นแหล่งปลูกส้มมิกันใหญ่)
รสชาติก็อร่อยเพลินเมาก เพราะตอนแรกกะยกให้คุณบูเพราะไม่ชอบข้าวยัดไส้
แต่สุดท้ายกินหมดคนเดียวสองอันเลยจ้าาาา (และมองของคุณบูตาอย่างมีเป้าหมาย)
ส่วนเซ็ตของคุณบูมาละลานตามาก นางถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปพักนึง
ไม่รู้จะเริ่มจากจานไหน กินไอ่นี่กับอะไร เป็นต้น…
โชคดีที่อาหารทุกเซ็ต จะมีวิธีกินเป็นภาษาอังกฤษมาให้ด้วย
แต่เป็นอังกฤษที่แปลโดยกูเกิลไง มันก็เลยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
โชคดีของเรากินคล้ายบะหมี่เย็นเลยรอดตัวไป แต่คุณบูเนี่ยมันมีหลายจานจัด
สุดท้ายเลยโยนวิธีกินทิ้งไป แล้วตั้งหน้าตั้งตากินจากชามที่คิดว่าน่าจะอร่อยที่สุดก่อน
นี่แหละเคล็ดลับนักกินระดับสากลโลก
ร้านนี้เขาขายเส้นโซเม็นหลากสีให้ซื้อกลับบ้านได้ด้วย
รวมถึงน้ำส้มเจลลี่ในถุงใส บีบเข้าปากได้สบายๆ แต่…เตือนไว้นิดนะว่าน้ำส้มถ้าเลือกผิดอัน
มันจะขมเท่าโลกใบนี้เลย ..คือกินไม่ได้ ต้องยกให้คุณบูผู้กินทุกสิ่งในโลกได้ไปกินแทน
ปล.ในร้านมีแผนที่ระบุตำแหน่งร้านอาหารและขนมประจำย่านด้วย
เสียดายเราไปค้างแค่คืนเดียว เลยไม่ได้ตะลุยกินจนหมด

