
บันทึกนี้เขียนจาก การไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก ของเราในเดือนตุลาคม 2011
ดังนั้นถ้ามีข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ก็ขออภัยด้วยใจจริง พยายามเช็กร้านแล้วว่ายังมีชีวิตอยู่
โตเกียวเป็นเมืองที่เที่ยวสนุกจริงๆ โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งไปญีปุ่่นครั้งแรก
ทุกหัวมุมถนนมีร้านรวงน่าสนใจ ให้เข้าไปดูไปดม
จังหวะไหนเดินผ่านบ้านคน ก็พบว่ามีกระถางต้นไม้น่ารักๆ วางไว้เหมือนไม่ตั้งใจ
แต่โดยรวมแล้วน่ามองได้โดยเจตนา จนอยากโผล่หน้าเข้าไปดูในบ้านนัก
ว่าจะเหมือนหนังสือ come home หรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเตรียมรับมือ
คือ “เดินแยะมากๆๆๆๆ” ขนาดเซียนเดินอย่างเรา ยังเจ็บเท้าแปลบปลาบ
เป็นปัญหาเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้เลยเชียว – -”
วันแรกที่ไปถึง ได้นอนบนเครื่องแค่ 4 ชม. ทำให้เกิดอาการ “นิ่งเป็นหลับ” ตลอดวัน
ทั้งบนรถไฟ รถบัส ระหว่างรออาหาร (เว่อร์ไปละๆๆ)
และตื่นเต้นกับการเข้าห้องน้ำทุกครั้ง ที่บางอันออโต้ บางอันไม่
บางอันมีเสียงน้ำไหล บางอันต้องหาที่กดบนแผงหน้าปัดยุบยิบ
แต่โดยรวมแล้วถือว่าห้องน้ำสะอาด กระทั่งในสถานีรถไฟซึ่งคนใช้เยอะแยะก็ตาม


วันแรกเราเดินจากที่พักของ LP & Sean ไปตามถนน Takeshita (อ่านวรรคไม่ดีนี่ take (a) shit เลยนะ)
ถนนเส้นนี้คนเดินเยอะ ร้านแยะ เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการมาฮาราจูกุ
โดยเฉพาะตรงทางออกใกล้สถานี เคยเห็นคนไปถ่ายรูปกันแยะเลย
ใกล้ๆ กันมีร้าน Daiso ที่เราแวะเข้าไปหลายรอบตลอดทริป แต่น่าแปลกที่ไม่ได้ซื้ออะไรจากร้านอื่นอีกเลย
เราแวะกินกาแฟที่ Cafe Solare บนถนนนั้นแหละ แต่ทั้งกาแฟและขนมไม่มีอะไรประทับใจ
เพราะถึงตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่ารสชาติเป็นไง รู้แค่ว่ามันคือ Soymilk Latte แก้วแรกในชีวิต
กาแฟ 2 ถ้วย ขนม 1 ชิ้น ราคา 840 เยน
แผนที่จาก Yelp
http://www.yelp.com/biz/cafe-solare-%E6%B8%8B%E8%B0%B7%E5%8C%BA





กินเสร็จเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง ผ่านสวน Yoyoki Park ที่ LP บอกว่าวันหยุดมักมี flea market
แต่ระหว่างเราไปไม่มีโอกาสแวะไปดูเลย ว่ามันหน้าตาเป็นยังไงช
เป้าหมายคือ Meiji Shrine หรือ ศาลเจ้าเมจิ สารภาพว่าเป็นศาลเจ้าแรกที่เห็นด้วยตาเปล่า (ตาตัวเอง)
รู้สึกทึ่งกับขนาดใหญ่โตของเสาประตูทางเข้ามาก (อ้าว แล้วตัวศาลเจ้าเก่าแก่ตั้งกะศตวรรษที่ 1920 ล่ะ!)
ที่เราเคยเห็นในหนังในละครนี่ ไม่ได้ให้ความรู้สึกขนาดนี้เลยจริงๆ ทึ่งอ่ะบอกตรง
ส่วนต้นไม้ต้นไร่ในนั้นก็สูงสล้างสงบเสงี่ยม ให้ความรู้สึกขลังขึ้นมาเชียว
พวกเราใช้เวลาอยู่ในนั้นนาน ไหว้พระเสร็จก็เดินดูต้นไม้ใหญ่ อากาศเย็นสบายดี




เรากินกลางวันที่ร้านราเม็งสุดฮิตจาก Fukuoka ชื่อ Kyushu Jangara
แน่ใจได้เลยว่าคนไทยไปกินแยะมาก เพราะมีภาษาไทยด้วย
เราสั่งเมนู no.1 เพราะมีเครื่องเคราครบครัน และน้ำซุปไม่เข้มข้นมาก
ร้านนี้คุณลุงแคชเชียร์พูดภาษาอังกฤษได้ด้วย เนื่องจากไม่ใช่นักเลงราเม็ง
ไม่สามารถบอกได้ว่าอร่อยระดับกี่ดาว แต่คุณบูเธอบอกว่าอร่อยโอเคเลยนะ
2 คนกินไปทั้งหมด 8,200 เยน
เปิด-ปิด 11am-2am mon-thur, sun; 11am-3.30am fri, sat.





ช่วงบ่ายเราไปไหว้พระที่วัดเซ็นโซจิ หรือ วัดอาซากุสะ หรือ Asakusa Kannon Temple ในอาซากุสะ
เพื่อไหว้พระ และกวักควันเอาโชคลาภใส่ตัว (ไม่รู้ตอนนี้ฤทธิ์ควันหมดหรือยังนะ ชักอยากกลับไปกวักใหม่อีกรอบ)
ถนนทางเข้ายังกะมีงานวัด ร้านรวงขายอาหาร ขนม ของที่ระลึกยุบยิบไปหมด
พวกเราแค่แวะซื้อไอติม (ลืมรสไปแล้ว) แล้วพนักงานขายก็บอกให้เธอยืนกินตรงหน้าร้าน
กินเสร็จแล้วค่อยเดินเข้าวัดไป (สื่อสารกันด้วยภาษากายล้วนๆ)
สำหรับเราแล้ว ถนนหน้าวัดยังสนุกน้อยกว่าถนนที่ฉีกตัวไปด้านข้างเสียอีก
เพราะมีร้านขนมหน้าตาโบราณมาก ร้านงานฝีมือเล็กๆ และอะไรต่ออะไรให้ดูเยอะแยะไปหมด
จากนั้นเราเดินเลียบแม่น้ำ ไปจนถึงตึกอุนจิที่ออกแบบโดย Phillipe Starck อย่างบังเอิญ
ชื่อตึก Asahi Beer Hall รายละเอียดจากวิกี http://en.wikipedia.org/wiki/Asahi_Beer_Hall
จากนั้นเราต่อรถไฟไปกินซ่า แวะร้านเครื่องเขียน Itoya เพื่อชอปกระจายอย่างไร้สติ
ซื้อเสร็จเราขึ้นไปชั้นบนสุด เพราะเค้ามีคาเฟ่เล็กๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนั่งพัก
หลังจากเดินไม่หยุดหย่อน จนข้อต่อหัวเข่าร้อง Help me!!! ไปแล้ว 15 รอบ
กินน้ำเขียวซ่าแสนชื่นใจ จากนั้นค่อยออกไปเดินหาร้านอาหารเย็น











Ten-ichi Tempura
ร้านนี้คุณบูเค้าไปเจอมาจากไกด์ไหนไม่รู้ นัยว่าเป็นหนึ่งในร้านเทมปุระแสนอร่อยในโตเกียว
เปิดร้านมานานกว่า 80 ปีแล้ว และมีคนดังรวมถึงนักการเมือง ตปท. มากินกันไม่ขาด
ที่นี่ขายอาหารเป็นเซ็ต มีประมาณ 7-8 จาน โดยเขาจะเสิร์ฟเทมปุระทีละชิ้นสองชิ้น ทอดเสร็จก็เอามาวางให้เรื่อยๆ
ทำให้เทมปุระที่เราทานยังร้อนกรุ่น (บางทีร้อนเกินไป บวกกับความตะกละ…ฟันฟาง ลิ้นเลิ้น แทบไหม้!)
และทุกครั้งที่เสิร์ฟ คุณลุงเชฟจะบอกวิธีการกินให้ เช่นว่าปลาไหลเทมปุระนี้
ควรแบ่งส่วนหัวจิ้มกับน้ำเทมปุระและไชเท้าฝน ส่วนหางควรจิ้มเกลือกับสไปซ์กินนะหนู
ตอนแรกเห็นน้อยๆ นึกว่าจะไม่อิ่ม แต่จานสุดท้ายเป็นข้าวหน้าเทมปุระ … โห กินเกือบไม่หมดบอกเลย
ที่นี่ทอดเทมปุระได้พอดีๆ แป้งไม่แยะไม่น้อยไป บอกไม่ถูก เหมือนแป้งแค่เป็นตัวห่อความหวานนุ่ม
ของเนื้อและผักเอาไว้เท่านั้นเอง ปิดท้ายมื้อคือเมลอน เราได้เมลอนสีส้ม ส่วนคุณบูได้สีเขียว ได้กินทั้งสองอย่างเลย
ราคา (ปี2011) Lunch 8,400 ส่วน Dinner 10,500
ที่อยู่: Namiki Dori, 6-6-5 Ginza, Chuo, Tokyo, Japan 104-0061, Open 11:30am – 9:30pm, daily
ลงสถานี Shimbashi
เว็บไซต์ : http://www.tenichi.co.jp/mainshop/index.html
ปิดท้ายวันแรกด้วยการพุ่งร่างเข้าไปร้าน Loft เพื่อสแกนสิ่งที่ชอบอย่างรวดเร็ว
ก่อนโดนพนักงานเตะโด่งออกมาภายใน 10 นาที
จำได้ว่าวันนั้นกลับที่พักพร้อมอาการปวดแปลบที่ฝ่าเท้า และตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้น
จะต้องหาสเปรย์ฉีดเท้ามาทุเลาอาการเส้นเอ็นร้อนจี๋สักกระป๋อง





