ไม่รู้มโนไปเองหรือเปล่า แต่ส่วนตัวคิดว่า “ถ้ามาหลวงพระบาง ก็ต้องมีเวลาไปนั่งชิลล์ที่คาเฟ่”
เพราะมันช่างเหมาะกับบรรยากาศเนิบๆ ช้าๆ ของเมืองเหลือเกิน
คาเฟ่ หรือ ร้านกาแฟดีๆ มีไม่มากอย่างที่ใจนึก และเราเองก็ไม่ได้ศึกษา หรือซื้อหนังสือมาอ่านก่อนไป
แต่อีกทีก็คือ เราคงไม่สามารถกินกาแฟวันละ 3 แก้ว แถมที่พักก็มีอาหารเช้าให้แล้ว
ดังนั้นการได้แวะคาเฟ่ 2 แห่ง ระหว่างพักที่หลวงพระบาง ก็ดูจะเป็นอะไรที่เหมาะสม
Le Banneton Cafe/Bakery
เดินมาเจอร้านนี้ หลังจากกินอาหารกลางวันเรียบร้อย
ส่วนตัวชอบร้านนี้ เพราะขนมอร่อย คนไม่แน่นร้าน
โต๊ะเก้าอี้ มีผ้าปู ลายเบาะ ดอกไม้จุ๋มจิ๋ม ชอบ : )
เสียอย่างเดียวคือไม่มีแอร์ ดังนั้นในวันร้อนๆ มันจึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างเหนอะหนะ
วันที่เราไปสั่ง Pistachio Raspberry Tart (สีเขียวๆ) กับ Apple Pie …อร่อย!
ใจจริงอยากสั่งอย่างอื่นกินอีก เช่นทาร์ตมะนาวนั่น… แต่พุงตึงแล้ว
ขนม 2 ชนิด น้ำส้ม และ กาแฟ ทั้งหมดเป็นเงิน 67,000 กีบ
เก้าอี้ด้านใน ลายดอกได้ใจอิฉัน
จึงจัดมา 2 รูปถ้วน
ดูสิ ดูสิ ดูเค้าเลือกสี ชอบบบบบ >__<
เอาละ มาดูที่ตู้ขนมกันบ้างดีกว่า
หลวงพระบางดีอย่างนึง ขนมปังอร๊อย อร่อย เกือบทุกอย่างที่กิน ชอบหมด
หน้าตา ท่าทางดีมากกก อยากรับไปอุปการะที่บ้าน
เห็นหน้าพายมะนาวนี้ รู้เลยว่ามันจะต้องเปรี้ยว หวาน กลมกล่อมกำลังดี น่ากินมาก
แต่ทราบหรือไม่ว่า บ้านนี้คนเลือกขนมและอาหารคือ คุณบูค่ะ
เธอเลือก Applie Pie ของโปรดเธอมา 1 (หอมเนย ไม่หวานจัด)
ส่วนอีก 1 คือพิสตาชิโอ + ราสพ์เบอร์รี่ เพราะไม่เคยเห็นเมนูนี้ที่ไหน ก็ใช้ได้ค่ะ
ภาพเหตุการณ์ ก่อน Apple Pie จะหายไปจากโต๊ะ
เขามีบริการส่งด้วยนะ
Cafe Ban Vat Sene
ความร้อนและแดดเปรี้ยงปร้างของหลวงพระบาง ยุยงให้เราเข้าไปนั่งในร้านนี้
ทั้งที่อยู่ห่างจากร้านแรกไม่ถึงกิโล บนถนนเส้นเดียวกันอีกต่างหาก
เป็นร้านที่ไม่ติดแอร์อีกเช่นกัน แต่หลังคาสูงทำให้ไม่ค่อยอ้าว
เอ๋สั่ง Lao Lemon Tea ซึ่งมีลักษณะเดียวกับชามะนาวเย็นบ้านเรา แต่ไม่หวานเจี๊ยบเท่า
ช่างเหมาะกับวันที่อากาศร้อนๆ เหลือเกิน แต่เราไม่ได้ลองขนมเค้กในตู้ของเค้า เพราะอิ่ม
แต่หน้าตา น่ากินอยู่นะ
บรรยากาศในร้าน Cafe Ban Vat Sene
มีเพียงขนมและเค้กเท่านั้น ที่ได้อยู่ในแอร์
ตอนกลางคืนเป็นบาร์ชิลล์ๆ
Lao Lemon Tea รสชาติเหมือนไทยแท้ สมแล้วที่เป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน