ความเดิมตอนที่แล้ว…
ฉันเพิ่งเอากระเป๋าไปเก็บบ้านลุงซ้ตย่า อันเป็นที่พักของเราในสตอกโฮล์ม
พอแปรงฟัน ล้างหน้า เรียบร้อย เราก็หยิบของจำเป็นออกมาเตรียมลุยเมืองเป็นวันแรกทันที
เริ่มต้นที่คาเฟ่ ซึ่งลุงซัตย่า และป้าเยอรมัน 2 คนแนะนำไว้ก่อนเลย
เมลล์ควิสต์ (MellQvist)
10 นาทีต่อมาพวกเราก็มาถึงเมลล์ควิสต์ มันคือคาเฟ่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ จะเลือกนั่งอาบแดดที่โต๊ะหน้าร้านก็ได้
แต่ภายในบรรยากาศอบอุ่นสบายกว่า มีคนโลคัลแวะเวียนเข้ามาสั่งกาแฟแกล้มแซนวิชหลากไส้ไม่ขาดสาย
ลาเต้ที่นี่ขึ้นชื่อลือชา โดยฝีมือการชงของคุณลุงหนวดเฟิ้ม ผมลอนยาวประบ่า ท่าทางเหมือนนักดนตรีร็อกมากกว่าเจ้าของคาเฟ่
แกร้องทักเรา “เฮย์” (Hej) ตั้งแต่เดินเข้าร้าน
วันไหนคนแยะให้มองหาโต๊ะก่อนแล้วค่อยสั่ง แต่ถ้าคนโล่งก็ให้สั่งกาแฟและแซนวิชที่เคาน์เตอร์ได้เลย
ส่วนน้ำส้ม ไข่ต้ม และน้ำดื่มบรรจุขวด สามารถหยิบไปวางที่โต๊ะเอง แล้วค่อยมาบอกให้คุณลุงคิดค่าเสียหาย
แซนวิชที่นี่ทำสำเร็จมาจากครัวด้านใน วางแยกเป็นถาดตามประเภท มีอยู่ประมาณ 4-5 ไส้
มีขนมปังให้เลือกหลายอย่างทั้งแบบกลมธรรมดา กลมผสมลูกเกดและบาเกตต์
ตอนแรกดูเหมือนขนมปังกลมจะแห้งและแข็ง แต่กลับอร่อยเหลือเชื่อ
ตัวแป้งนุ่มแต่ไม่แบนแฟบตามแรงกด รสชาติติดหวานนิดๆ กลมกล่อมเข้ากับชีสเค็มละมุนที่สอดไส้
ยิ่งได้ต้นทานตะวันอ่อนเป็นไฟเบอร์และวิตามินแทรกอยู่เล็กน้อย ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันพอถูไถเรียกว่าเป็นอาหารสุขภาพได้
สิ่งที่ทำให้เจ้าบูตาโตก็คือแซนวิชไข่ต้มยางมะตูม ที่มีไข่ปลาคอดคลุกเคล้าผสม
มันคือรสชาติแปลกใหม่ที่อร่อยว้าวลันลา และอุดมไปด้วยคลอเรสเตอรอล (จ๊าก!)
ขณะเดียวกันก็เป็นอาหารเช้ามื้อแรกในสตอกโฮล์มที่เรารู้สึกดี
ลาเต้เค้าอร่อยจริงจังดังคำลือ แซนวิชรสดีทุกไส้ เลยตั้งใจจะฝากท้องไว้ทุกเช้า
แต่ที่ไม่เข้าใจคือ มีคนอ่านแผ่นพับการผ่าตัดกราม ระหว่างกินแซนวิชไปด้วย
ถ้าเป็นเราคงแซนวิชติดคอ กลืนอะไรไม่ค่อยลง เพราะภาพสีที่เห็นในนั้นมันช่างชัดเจนแจ่มแจ๋ว
(ให้นึกภาพปอดที่เป็นมะเร็งบนซองบุหรี่จะใกล้เคียงที่สุด)
กาแฟที่นี่แก้วละ 40 SEK แซนวิชชิ้นละ 30-40 SEK หากเลือกสั่งแบบเซ็ต (Super Frukost)
อันประกอบด้วยกาแฟ แซนวิช ไข่ต้ม และน้ำส้ม ราคาจะอยู่ที่ 100 SEK
ซึ่งฉันว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า เพราะจะอิ่มทน อิ่มนาน เหมาะกับวันที่คิดเดินตะลุยเมืองแบบจัดหนักเป็นอย่างยิ่ง
เมลล์ควิสต์อยู่ห่างจากสถานี S:t Eriksplan ประมาณ 200 เมตร ออกจากสถานีให้ขึ้นบันไดที่แยกมาทางขวา
มองไปยังซอกตึกตรงหน้า แล้วเลี้ยวขวา เดินไปไม่กี่ก้าวจะเจอร้านอยู่ขวามือ
คุณลุงนักดนตรีร็อก ชงลาเต้ให้เรา
แซนวิชทั้งหลาย เลือกได้จากตรงเคาน์เตอร์ เห็นขนมปังแบบนี้เหมือนแข็ง แต่กัดแล้วหนุ้มมมมม
รสขนมปังจะหวานนิดๆ ตัดกับความเค็มของขีส ได้ไฟเบอร์จากต้นทานตะวันอ่อน
ไม่มีซอสทาแต่อย่างใด ดังนั้นจึงควรกินกลั้วกาแฟดีที่สุด
หลังจากนั้นไม่นานมีโอกาสคุยกับน้องแอ๋ม สาวน้อยที่ไปเรียนโท ที่สตอกโฮล์มอีกครั้ง
พบว่าคนสตอกโฮล์ม “กินเพื่ออยู่” และ “กินสุขภาพ” อย่างแท้จริง
ดังนั้นอาหารจึงไม่มีไขมันเกินความจำเป็น ขนมปังขาวแทบไม่มีให้เห็น
ส่วนใหญ่กินแอปเปิลกันเป็นของทานเล่น ไม่มีหรอกจะแทะคุกกี้ มัฟฟิน คัพเค้ก
วันนี้มีสาวน้อยร้อยชั่ง มานั่งข้างๆ เธอกินแซนวิชไข่ น่าทานมาก วันถัดมาเราเลยเลียนแบบบ้าง ฮิๆ
อาหารเช้ามื้อแรกของหมู่เฮา ลาเต้ คาปูชิโน่ แซนวิช ครัวซองต์
สถานีรถไฟฟ้า St:Eriksplan
กัมล่าสตาน (Gamla Stan)
ที่นี่คือจุดหมายแรก และจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในการมาเยือนสตอกโฮล์ม พวกเราก็เช่นกัน
หลังจากอิ่มหนำจากเมลล์ควิสต์ ก็จับมือกันมุดดินลงสถานี S:t Eriksplan มาโผล่อีกทีที่สถานี Gamla Stan
พวกเราเริ่มใช้บัตร Stockholm Card ในการเดินทางเป็นครั้งแรก แต่บัตรนี้ไม่มีแม่เหล็กเก็บข้อมูล
จึงไม่สามารถใช้มันแตะลงบนเครื่องอ่านตรงทางเข้าได้ ต้องให้นายตรวจที่สถานีประทับตราวันที่เริ่มใช้
ถัดจากนั้นจะเข้าสถานีเมื่อไหร่ ก็ให้เดินไปหานายตรวจที่ตู้แล้วยื่นตั๋วให้ดู เค้าจะเปิดไม้กั้นให้เราผ่านเข้าไปเอง
กัมล่าสตานคือเกาะเล็กๆ อันเป็นย่านเมืองเก่ากลางกรุงสตอกโฮล์ม
มันคือตัวแทนสถาปัตยกรรมจากยุคกลางที่สวยงามแห่งหนึ่งในโลก ถนนเส้นเล็กแคบปูด้วยหินคอบเบิลสโตนแบบดั้งเดิม
ทำให้ที่นี่แลดูน่ารักน่าชัง สองข้างทางคือแนวอาคารเก่าแก่สีสันสวยงาม ชั้นล่างส่วนใหญ่แปลงกายเป็นร้านค้าหลากประเภท
ที่ขายงานออกแบบสไตล์สแกนดี้ งานฝีมือ ร้านของเล่น ร้านของเก่า ร้านของที่ระลึกจำพวกโปสการ์ด เสื้อยืด I ม้าไม้สีสดที่เรียกว่า Dalahorse ร้านลูกกวาดสีสวย ร้านหนังสือ คาเฟ่ทั้งน้อยและใหญ่ ที่นำเก้าอี้สีสวยมาตั้งเรียกลูกค้ากันริมทางหน้าร้าน
สิ่งที่เห็นมากมายก็คือ dishcloth หรือผ้าเช็ดจาน ฉันชอบนำผ้าชนิดนี้มาเช็ดน้ำที่อ่างล้างจาน
เพราะมีคุณสมบัติอมน้ำแยะและแห้งเร็ว ราคาประมาณ 4 ผืน 100 SEK นอกนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Moomin
หรือไม่ก็ Pippi ซึ่งเป็นการ์ตูนที่มีต้นกำเนิดจากประเทศในสแกนดิเนเวียน
ถ้าใครเป็นแฟนของการ์ตูนพวกนี้ล่ะก็ จงเตรียมใจไว้ให้จงดี มีหวังได้ชอปกันจนหน้าซีด
เพราะของมีให้เลือกหลายอย่างและสวยๆ ทั้งนั้น
เยอะ…จนไม่รู้จะซื้อชิ้นไหนดี (นี่กลุ้มใจอยู่นะ)
การเลือกซื้อโปสการ์ดส่งให้เพื่อนก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะที่นี่มีแบบให้เลือกมากมาย ทั้งรูปวิวทิวทัศน์
รูปปราสาท หรือแบบการ์ตูนทั้งหลาย เห็นแล้วอยากซื้อส่งให้ตัวเองเสีย 80%
ราคามาตรฐานของมันอยู่ที่ 10 SEK ต่อใบ แต่ถ้าไม่คิดอะไรมากเรื่องลายมีถูกสุดขายอยู่ที่ 3 ใบ 10 SEK
หรือใครจะลองเสี่ยงไปหยิบจากที่แจกฟรีในพิพิทธภัณฑ์ก็พอมีบ้างเหมือนกัน
ส่วนสแตมป์สามารถซื้อได้จากร้านที่ขายโปสการ์ด แต่หากอยู่ในกัมล่าสตาน
ให้เดินไปที่ Post Museum ซึ่งอยู่ห่างจากสถานี Gamla Stan เพียงไม่กี่ก้าว ก็จะได้สแตมป์ในราคาปกติคือ 12 SEK
แถมยังมีแบบให้เลือกเยอะแยะมากมาย น่ารักๆ ทั้งนั้น ฉันปรี่เข้าไปเกาะตู้กระจกตาโตเป็นประกาย
จิ้มเลือกสแตมป์เป็นที่สนุกสนาน คุณป้าเจ้าหน้าที่ก็ใจดี หยิบมาให้ไม่แสดงท่าทีเอือมระอา
น่าเสียดายวันที่ฉันไปตัวพิพิทธภัณฑ์ปิดทำการ เลยอดเข้าชม
“ความน่ารักอีกอย่างของกัมล่าสตาน ก็คือการที่มันมีซอกเล็กซอกน้อย หลบมุมออกจากถนนเส้นหลักที่นักท่องเที่ยวพลุกพล่าน
เดินเข้าไปแล้วสงบเหมือนไม่มีใคร บางทีบ้านคน เจอต้นไม้ใหญ่ เจอคาเฟ่เล็กๆ เจอคนกำลังทำกิจวัตรประจำวันนั่นนี่”
นั่นละ ความประทับใจของเจ้าบูต่อกัมล่าสตาน
ขณะที่สิ่งละอันพันละน้อยที่เดินเจอระหว่างทาง ก็สร้างความประทับใจให้หญิงไทยใจกุ๊กกิ๊กอย่างฉันได้มากโข
อย่างตู้ไปรษณีย์สีพาสเทล กระถางดอกไม้สีสวยที่วางหน้าประตู การตกแต่งวินโดว์ดิสเพลย์เก๋ไก๋ ของร้านรวงทั้งหลาย
ที่ใช้ดึงความสนใจจากนักท่องเที่ยวได้ชะงัด ไม่ต้องซื้ออะไรแค่ยืนมองน้ำลายสอก็สนุกแล้ว
บางจุดมีม้านั่งพร้อมตุ๊กตาคนแคระคอยให้เราเข้าไปถ่ายรูป หน้าประตูหรือระเบียงส่วนใหญ่
มักมีกระถางดอกไม้สีสวยหวานวางประดับตกแต่ง
ตู้เติมบัตร หรืออะไรสักอย่าง จำไม่ได้
ถนนเส้นเล็กๆ ใน Gamla Stan
วันที่ฉันไปอากาศดี เย็นสบาย แดดออก เย้ๆ
ของจุกจิกทั้งหลาย เห็นแล้วยืนเกาะมองกระจกได้เป็นนานสองนานเลยจริงๆ
นี่ก็ด้วย
dishcloth ที่นี่ มีเยอะปะล้ำปะเหลือจริงๆ ราคาราวๆ นี้เลยคือผืนละ 25 Kr
เห็นสีแล้วใจละลาย … บ้านจำลองน่ารักมากกก
ไหนจะมูมินอีก >__<
จัตุรัสสโตร์ทอร์เรต (Stortorget)
เรายังไม่ได้ออกจากกัมล่าสตานแต่อย่างใด หลังจากเดินดูของจุกจิกน่ารักสารพัดในร้านรวงต่างๆ
ปะปนกับนักท่องเที่ยวอื่นๆ และน้องหมาที่คนโลคัลพาออกมาเดินเล่นอยู่พักใหญ่ รู้ตัวเงยหน้าจากขนมปังก้อนโตในร้านขนมอีกที
ก็พบว่าตรงหน้าคือจัตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางกัมล่าสตาน ที่รั้งตำแหน่งจัตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดในสตอกโฮล์มอีกแห่งหนึ่ง
สมัยก่อนที่นี่เป็นตลาดขายอาหารและงานฝีมือขึ้นชื่อ ปัจจุบันมันคือแหล่งรวมนักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วโลก
บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของ Nobel Museum ซึ่งภายในนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ที่เคยได้รับรางวัลทั้งหมดรวมถึงผลงาน
ลักษณะเหมือนการจัดนิทรรศการมากกว่าพิพิทธภัณฑ์ คงเพราะต้องการจูงใจให้คนเข้าไปอ่านข้อมูลที่อาจจะทำความเข้าใจยาก
มุมหนึ่งมีห้องฉายหนังขนาดเล็กที่สัมภาษณ์และเล่าถึงงานของบุคคลที่เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ บางท่าน
แต่มุมที่ฉันใช้เวลานานที่สุดก็คือ Museum Shop แฮ่…
ทางขวามือของ Nobel Museum คือกลุ่มอาคารเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 หากมองในสายตานักท่องเที่ยวแล้ว
ฉันว่ามันน่ารักดี หน้าจั่วโค้งมนเหมือนกลีบดอกไม้ สีสันหรือก็สดใสเหมาะสำหรับเข้าไปยืนแอ๊คท่าถ่ายรูป
แต่ในความจริงแล้ว อาคารแต่ละหลังมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน บางหลังมีเจ้าของเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์
และมีรายละเอียดยิบย่อยยุบยั่บมากมาย ยาวยืดเกินไปจนคร้านจะอ่าน แหะๆ
Nobel Museum
www.nobelmuseum.se
Stortorget 2, Gamla Stan
ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 100 SEK, เด็กต่ำกว่า 18 ปี และผู้ถือบัตรสตอกโฮล์มการ์ด ฟรี
Nobel museum
ด้านในของ Nobel Museum
อาคารสีสวย รูปทรงน่ารักแปลกตา ทำให้นักท่องเที่ยวติดใจ มากันแยะมากๆ
Stockholm Cathedral (Storkyrkan)
ทีเด็ดของกัมล่าสตานไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เราเดินเข้ามาอุ่นใจในโบสถ์ขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในสตอกโฮล์ม
สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญของเหล่าราชวงศ์ในปัจจุบัน ทั้งพระราชพิธีอภิเษก หรือราชาภิเษก
สถาปัตยกรรมภายในสวยงาม ตกแต่งด้วยทองสลักเสลาอลังการ มีงานศิลปะหลากรูปแบบ
ที่เรียกเสียง อู…อา… จากฉันได้ ฉันชอบ The Globe of Light เชิงเทียนรูปโลกแสนสวยที่สร้างก่อนฉันเกิด
ภาพวาดขนาดใหญ่และภาพวาดที่เก่าแก่ที่สุดในสตอกโฮล์ม ที่ประทับของกษัตริย์และราชินี
ซึ่งมีมงกุฎขนาดใหญ่อยู่ด้านบน กระทั่งหลุมศพก็ยังมี
“สมัยก่อนมีมังกรอยู่จริงเหรอ” ฉันถามเจ้าบู ขณะพิจารณารูปปั้น St.George and the Dragon
อันเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะของสวีเดนที่มีต่อเดนมาร์กในสงคราม Brunkeberg
สั่งสร้างโดยฝีมือแม่ทัพที่ก่อนออกรบได้สวดมนต์ขอพรต่อเซนต์จอร์จ แล้วเขาก็ได้ชัยชนะกลับมาสมตั้งใจ
“รูปปั้นนี้สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ก็ต้องมีเรื่องราวเทพนิยายผสมผสานบ้าง อีกอย่างมันเป็นแค่สัญลักษณ์” เจ้าบูตอบ
“ดูตรงนี้สิ มีหลุมศพในโบสถ์ด้วยอ้ะ!” อะเจ้ย ฉันตกใจจริงๆ นะ
“โบสถ์เก่าแก่ส่วนใหญ่มีหลุมศพอยู่ข้างใต้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นบาทหลวง หรือไม่ก็คนสำคัญ
เพื่อเป็นการให้เกียรติคนเหล่านั้นแม้จะจากโลกไปแล้ว” เจ้าบูตอบแบบไม่คิดเลย เฮ้ย! นี่ฉันรู้อะไรบ้างเนี่ย
“เอาน่า…ก็ได้รู้แล้วไง รู้หมดแล้วทุกอย่างจะสนุกอะไร” เจ้าบูปลอบฉันอยู่ใช่ไหม อ้ะ งั้นถามต่อก็ได้
“แล้วท่อๆ พวกนั้นคืออะไร” ฉันชี้ไปที่กลุ่มของท่อขนาดใหญ่เรียงกันเป็นแถวที่อยู่เหนือแท่นพิธี
“นั่นไพพ์ออร์แกน (Pipe Organ) ตัวเบ้อเลิ่มเลย ออร์แกนพวกนี้เป็นเหมือนงานฝีมือมากเทียบเท่ากับหน้าที่เครื่องดนตรีของมัน
เพราะแต่ละตัวจะถูกออกแบบและสร้างเฉพาะโบสถ์นั้นๆ ตัดกันทีละท่อๆ แล้วเอามาต่อเป็นแถว จูนกันทีละอัน ใช้เวลาสร้างเป็นปีนะ”
เมื่อฉันหันไปมองด้วยสายตาตั้งคำถาม เจ้าบูเหมือนจะเข้าใจจึงตอบ “เคยดูรายการทางเคเบิลน่ะ”
อ๋อแล้วไป นึกว่าอดีตเคยรับจ๊อบเป็นไกด์ในโบสถ์เสียอีก (ประชด)
เอ๊ะ..นั่น ดอกทิวลิป! หน้าโบสถ์มีแปลงทิวลิปเล็กๆ ให้ดูด้วย ฉันยังไม่เคยเห็นทิวลิปมาก่อน เลยสนุกเป็นการใหญ่
เพราะนอกจากดอกสีสดๆ แล้วยังมีดอกสีม่วงเข้มแซมด้วยแฮะ
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 40 SEK, เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี และผู้ถือบัตร Stockholm Card เข้าชมฟรี
ที่อยู่: Trångsund 111129 Stockholm
Changing of the Guard
เดินออกจากโบสถ์ไม่ไกลนัก คือลานกว้างที่มีวังเก่าแก่เป็นฉากหลัง มุมหนึ่งคนเริ่มจับกลุ่มยืนรอกันด้านหลังเชือก
เลยเข้าใจว่าน่าจะมีการแสดงหรืออะไรสักอย่าง หลังจากเดินหาป้ายและอ่านข้อมูล จึงรู้ว่าหากไม่มีเหตุการณ์ใดเป็นพิเศษ
ทุกๆ วันเวลา 12.15 น. จะมีการเปลี่ยนกะของเวรยามที่รักษาการณ์หน้าวัง ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถยืนชมได้
ก้มมองนาฬิกา โห…เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง นี่เราจะยืนรอกันไหวเหรอ
“ไหนๆ ก็อยู่ตรงนี้แล้วรอเถอะ” เจ้าบูเหมือนได้ยินความคิดฉัน “เสร็จจากตรงนี้ค่อยไปกินกลางวันกัน”
ว่าแล้วเจ้าบูก็เปิดไกด์บุ๊กหาข้อมูลร้านอาหาร ส่วนฉันหันไปพิจารณาสถานกาณ์รอบตัว
คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาออกันมากขึ้น ฉันพยายามปักหลักนิ่งไม่หวั่นไหว
แม้คุณป้าด้านหลังเริ่มออกแรงผลักรุนให้ตัวเองมีโอกาสอยู่แถวหน้า ไม่พอยังส่งหลานตัวน้อยมาแทรกแซง
กว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนกะจริง ฉันก็ยืนจนขาแข็ง แถมเพิ่งรู้ตัวว่าเลือกมุมผิดเลยมองอะไรไม่เห็น
(คงรวมกับความสูงระดับมาตรฐาน) หากใครตัดสินใจจะยืนคอย ให้เลือกมุมที่หันหน้าเข้าหาลานกว้าง
อย่าเลือกมุมหันเข้าหาวังเด็ดขาด ไม่งั้นจะได้ถ่ายแต่รูปนักท่องเที่ยวแหงนหน้าถือกกล้องส่องไปทางลานเหมือนฉัน
ฉันเลยตัดสินใจสละที่ยืนแถวหน้า เดินออกไปหาเสาสูงที่ยังไม่มีคนจับจอง แล้วใช้วิชาลิงกังพาตัวเองขึ้นไปยืนบนจุดพักเท้า
ค่อยยังชั่ว! อย่างน้อยก็ได้เห็นช่วง 10 นาทีสุดท้ายละ
ขั้นตอนจะเริ่มจากการที่วงดนตรีทหารม้านำทัพเดินพาเหรดเข้ามาพร้อมเสียงกลองเป็นจังหวะ
เมื่อถึงกลางลานก็จะแปรขบวนเป็นรูปแบบต่างๆ แสดงให้เห็นความสวยงามและพร้อมเพรียง
ฉันทึ่งทหารนักดนตรีที่ต้องอยู่บนหลังม้าเอามากๆ เพราะทุกคนต้องเล่นดนตรีไปด้วย
บังคับม้าไปด้วยโดยไม่ทำให้เสียรูปขบวน การเปลี่ยนกะพร้อมวงดุริยางค์ทหารม้า จะมีเฉพาะช่วงหน้าร้อน คือเดือนพฤษภาคม – สิงหาคมเท่านั้น
ซัตย่าถือว่าเป็ชื่อนที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ถือว่าเก๋มาก สงสัยอาจจะเป็นชื่อเก่าๆที่ยุคนี้ไม่นิยมแล้ว
โดยส่วนตัวแล้วสต๊อคโฮล์มถือว่าเป็นเมืองสวย ออกแนวคลาสสิคเหมาะสำรับนักท่องเที่ยว ผู้คนแต่งตัวสวยงามและที่สำคัญร้านรวงมากมายจนรู้สึกอึดอัดโดยเฉพาะดรอตหนิงกาตั้น แต่โดยส่วนตัวผมกลับมองว่ามันออกจะเป็นที่สำหรับนักท่องเที่ยวเกินไป
ขอแนะนำให้ลองไปเที่ยวเยอตะบอร์ฏกหรือโกเธนเบิร์ก(ภาษาอังกฤษ)เมืองใหญ่อันดับสอง คนที่นั่นออกจะดูลูกทุ่ง ไม่เนี๊ยบ เมืองค่อนข้างจะปนๆระหว่างเก่ากับใหม่ สถานที่ที่น่าสนใจไม่ใช่โบสถ์อลังการหรือว่าพระราชวังใหญ่โต แต่ปลับเป็นตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่ขายของและร้านกาแฟเล็กๆ เมืองนี้เน้นกิจกรรมถ้ามาช่วงหน้าร้อนอาจจะมีดนตรีให้ฟังในสวน มีสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเหนือเปิด สวนสาธารณะมีเด็กมากมายและผู้คนออกมาแสดงดนตรีตามถนนให้ขวัไขว่ แต่คนโดยส่วนมากเป็นคนในท้องที่ นักท่องเที่ยวก็มีแต่ไม่มากมายเท่าเมืองหลวง
ที่สำคัญคือถ้ามีโอกาสมาสวีเดนอีกขอแนะนำให้ไปตามชนบทเพราะที่นี่จะมีชื่อเสียงมากเรื่องธรรมชาติ คนตามเมืองใหญ่ๆช่วงหน้าร้อนเขาหนีไปชนบทกันหมด ปล่อยให้นักท่องเที่ยวและพวกหนุ่มสาวครองเมืองกัน
ถ้ามีเงินหน่อยขอแนะนำไปที่ก๊อตแลนด์(เมืองที่เป็นฉากหลังของหนังหลายเรื่องของอิงมาร์ เบิร์กมาน)แพงแต่สวย ถ้ามีงบน้อยหน่อยก็เออลานด์ เกาะนี้มีชื่อเรื่องงานสถาปัตยกรรมในยุคกลาง โบสถ์ทีเก่าที่สุดในสวีเดนก็อยู่บนเกาะนี้ หรือการเดินทางไปกลางๆประเทศด้วยรถไฟชั้นประหยัดก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการดื่มด่ำบรรยากาศวิถีชีวิตของคนที่นี่อย่างแท้จริง
ปล. พี่อ๊อบเป็นคนแนะนำให้ผมตามมาอ่านบทความของคุณครับ
เอ…คุณพี่อ๊อบนี่คนไหนหนอ เอ๋รู้จักอ๊อบไม่กี่คน คนแรกเป็นเพื่อนม.ต้น ตอนนี้อยู่ออสเตรเลีย อีกคนเป็นพี่สาวที่รู้จักกันทางลิตเติลฯ ไม่แน่ใจว่าใช่สองคนนี้ >__< ฝากขอบคุณคุณพี่อ๊อบด้วยค่ะ : )
อยากไปโกเตินเบิร์กอยู่ค่ะ! ถ้าจะไปก็คงเมืองนั้นเลย แต่ตอนนั้นขี้เกียจย้ายเมือง และเป็นครั้งแรกของพวกเราที่สวีเดน เลยอยากดูให้ทั่วๆ แต่ขนาดว่าสตอกโฮล์มไม่ค่อยแจ๋วเท่า เอ๋ก็ยังชอบตรอกเล็กซอกน้อยของกัมล่าสตาน หรือแม้แต่ที่อื่นๆ ที่ไปมานะคะ คงเพราะไม่เคยเห็นเลยสนุกใหญ่ ฮี่ๆ ตอนนี้มีก๊อตแลนด์เพิ่มเข้ามาอีกเมืองแล้ว … ทำไมค่าตั๋ว (และค่าครองชีพ) ของสวีเดนไม่น้อยกว่านี้อีกนีสสส ก็ไม่รู้ แฮ่…
พี่อ๊อบที่ผมว่า เค้าบอกว่ารู้จักกันบางทีก็ส่งโปสการ์ดหากันบ้างครับ ผมเคยร่วมงานกับพี่อ๊อบสมัยทำงานที่บริษัทสถาปนิกที่ไทยด้วยกันครับ
จริงๆแล้วเมืองเยอตะบอร์กอาจจะไม่ถูกปากสำหรับนักท่องเที่ยวเท่าใดนักเมื่อเทียบกับเมืองหลวง แต่อย่างที่บอกล่ะครับว่าถ้าอยากมาดูคนเมืองที่ออกจะไม่แข็งทื่อๆเหมือนคนกรุงต้องมาที่นี่ เมืองเยอตะบอร์กเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจหลัก ที่ดังๆคือการต่อเรือและประกอบรถยนต์อย่างวอลโว่
ด้วยความที่เป็นเมืองท่าอยู่ฝั่งตะวันตก เลยมีโอกาสในการติดต่อกับนานาประเทศมากกว่าเมืองหลวงและค่อนข้างจะเป็นสากลมากกว่า แต่ในเวลานี้ทางมาลเม่อน่าจะไปได้รุ่งกว่าเพราะติดกับประเทศเพื่อบ้านมากกว่าอย่างเดนมาร์กและเยอรมัน
แต่ถ้ามีโอกาสมาท่องดินแดนสแกนดิเนเวียอีกขอแนะนำว่าให้ลองเครื่องบินไปลงที่เชิบป้นฮาล์ม หรือกรุงโคเปนเฮเก้นแทนครับเพราะที่นั่นมีสายการบินให้เลือกมากว่า ตัวเลือกมากอาจจะเพิ่มโอกาสในการหาตั๋วราคาไม่โหดร้ายเกินไปนักได้ จากสนามบินมีรถไฟตรงไปยังเมืองต่างๆแถบชายฝั่งตะวันตก อย่างมาลเม่อ ลุนด์ เฮลซิงบอร์ก ฮาล์มสตาด(เมืองที่ผมอาศัยอยู่)วอร์แบร์ก เยอตะบอร์ก และจากเมืองเยอตะบอร์กสามารถต่อรถไฟไปยังออสโลได้ ราคาตั๋วจากสนามบินที่โคเปนเฮเก้นไปเยอตะบอร์กตกราวๆ สองร้อยห้าสิบโครนต่อเที่ยว เรียกได้ว่าถ้ามาอีกสามารถเดินทางไปได้หลายเมืองสามประเทศ แต่ราคาตั๋วจากเยอตะบอร์กไปออสโลนั้นขึ้นๆลงๆเหมือนตั๋วเครื่องบิน จองล่วงหน้าก็ถูกหน่อย
การเดินทางและเรื่องที่พักอาศัยที่นี่จะไม่แพงเลยถ้าเรารู้ช่องทาง ค่าครองชีพที่นี่แพงยอมรับเลยครับและก็ไม่ใช่ทุกครอบครัวจะมีโอกาสพักโรงแรม ครอบครัวผมยังไม่เคยเลยแต่อาศัยหาพักตามโฮสเทลเอา
ถ้าสนใจจะเดินทางมาอีกและอยากขอคำแนะนำติดต่อมาได้เลยนะครับ